
Crimson Peak ปราสาทสีเลือด ผลงานของ Guillermo del Toro กับความลึกลับ และโรแมนติก ว่าด้วยเรื่องราวของ Edith หญิงสาวที่ต้อง พบเจอกับเรื่องราวลึกลับของ สามีชาวอังกฤษ และพี่สาวของเขา
เมื่อถูกโปรยมาด้วยชื่อของ Guillermo del Toro สิ่งที่เราคาดหวังได้คือการออกแบบปิศาจ หรือ ภูติผีเล้นลับในแบบที่น่าสนใจตามสไตล์ของเรา อย่างที่เราเจอใน Pan’s labyrinth, HellBoy, Pacific Rim หรือ Orphanage และมันก็จริงครับการออกแบบ ภูติผีที่ปรากฏในภาพยนตร์ Crimson Peak เรื่องนี้คือความบรรจงตามสไตล์งานศิลปของเขานั่นเอง ประกอบกับการจัดฉากที่แสนเลิศยิ่งใหญ่ที่ถ่ายทอดเครื่องแต่งกาย บรรยากาศในตัวเมือง ทุกสิ่งเก็บรายละเอียดได้ครบทุกสัดส่วน แม้แต่ช่วงหลังที่ตัวละครเอกอย่าง Edith ต้องเดินทางไปยังอังกฤษกับสามีของเธอเพื่อไปอยู่ที่ปราสาท Allerdale Hall อันแสนลึกลับก็ยังสามารถสร้างอารมณ์ของความอึดอัด น่ากลัว วังเวง และสวยงามได้ผสมผสานกัน
แต่….
สำหรับเนื้อเรื่องแล้วนั้น แทบจะบอกว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมาเกินไปไม่มีอะไรให้ลุ้นในแกนหลักสำคัญในการปิดปมปริศนาและเจตนาของสามีและพี่สาวของสามีสำหรับ Edith เลยแม้แต่น้อย เพราะเจตนาของหนังเปิดเรื่องมาด้วยวัตถุประสงค์ที่มีบางสิ่งแอบแฝง ทำให้อารมณ์การเดาแกนเรื่องพอจะเดาได้และหมดความตื่นเต้นไปเหลือเพียงรอแค่ว่าเรื่องราวจะเฉลยในตอนท้ายว่า “เจตนา” ที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดคืออะไร อารมณ์เหลือรู้อยู่แล้วว่าในตู้เย็นมีมาม่า ยังไงก็เจอมาม่า เหลือเพียงแค่ว่า มาม่า ที่จะเจอคือรสอะไร
กลับมาที่เนื้อเรื่อง เป็นเรื่องราวของ Edith Cushing หญิงสาวชาวอเมริกันหัวสมัยใหม่ ผู้ต้องการเปลี่ยนแปลง เบื่อหน่ายธรรมเนียม กระตือรือร้น ที่อยากรู้ในสิ่งต่างๆ ในวัยเด็กเธอถูกตามหลอกหลอนโดยวิญญาณของแม่เธอที่ได้จากไปเพราะโรคร้ายตอนเธออายุเพียงสิบปี และได้พบกับ “ผี” ของแม่เธอที่คอยมาบอกส่งข่าวสารว่าในอนาคตเธอจะพบกับอะไร ทำให้เธอเชื่อในเรื่องของผีสาง และอยากจะเป็นนักเขียนที่สนใจเรื่องเหนือธรรมชาติ และตั้งใจจะตีพิมพ์นิยายสยองขวัญที่อิงจากประสบการณ์ของเธอ
ในงานเขียนของเธอนั้น ครั้งแรกที่เธอได้เสนอแก่ Owlgivy (ชื่อเหมือนเอเจนซี่…) ถูกยกเลิกด้วยเหตุผลที่ว่า เรื่องนิยายมีผี และน่าจะใส่เรื่องรักเข้าไป (แม้แต่ความคิดตื้นๆ แมสๆ เหมือนเอเจนซี่…) ซึ่งในเนื้อความนั้นเธอบอกว่า ผีในเรื่องเป็นแค่สิ่งที่บอกว่า นิยายเรื่องนี้มีผี แต่ผีไม่ใช่ความโดดเด่นอะไรของเนื้อเรื่องที่ต้องการจะนำเสนอ ซึ่งเดาได้ว่า Owlgivy ไม่ได้อ่านแบบถ่องแท้ (แม้แต่บรรยายกาศคล้ายตอนพิชงานยังเหมือนเอเจนซี่… – ดีนะไม่เอาไปเขียนนิยายเองแล้วบอกว่าตัวเองคิดแบบเอเจนซี…) หากให้ลองสังเกต แกนเรื่องในนิยายของเธอนั้นแทบจะเหมือนกับภาพยนตร์ทั้งเรื่องของเรื่องนี้
ชีวิตของ Edith นั้นเรียกว่ามาตรฐานคนชั้นสูงเพราะพ่อของเธอเป็นถึงประธานบริษัท กึ่ง นักลงทุน และยังมีเพื่อนสนิทที่แอบชอบเธอมาตั้งแตเด็กอย่าง Dr. Alan McMichael (Charlie Hunnam) ที่เธอรู้สึกกับเขาแค่เพื่อนสนิท จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีรักชายหนุ่มรูปงามจากเกาะอังกฤษนามว่า Sir Thomas Sharpe (Tom Hiddleston) เดินทางเข้ามาเสนองานในบริษัทของพ่อเธอ เกี่ยวกับเครื่องสูบโคลนเพื่อรั่งภาวะของการยุบตัวของดิน Sir Thomas คนนี้สามารถทำให้เธอตกหลุมรักเต็มหัวใจแม้ว่าจะพบเจอแค่ไม่กี่วัน อีกทั้งเขายังพา Edith ได้รู้จักกับ Lady Lucille Sharpe (Jessica Chastain) พี่สาวของเขา และการบอกเล่าถึงตระกูลเก่าแก่โบราณ พร้อมความลึกลับในชาติตระกูลยิ่งทำให้เธอหวั่นไหวและหลงไหลในตัวเขามากกว่าเดิม
จนกระทั่งพ่อของ Edith ได้รู้ถึงความลับบางอย่าง พ่อของเธอได้บื่นข้อเสนอเงินสดก้วนหนึ่งให้กับเขายุติคววามสัมพันธ์กับเธอ ในคืนนั้นสถานการณ์พลิกผันเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับพ่อของ Edith ด้วยสัญญาพินัยกรรมทุ่งสิ่งส่งตรงมาที่เธอเป็นผู้ตัดสินใจ Edith ไม่ลังเลที่จะทำตามหัวใจของเธอ เธอยอมแต่งงานเป็นภรรยา Sir Thomas โดยไม่ลังเล และยังเดินทางไปยังปราสาทหลังใหญ่กลางเนินกว้างที่มีปัญหาในการจมลงพื้นดิน เพราะแร่และโคลนสีแดง ซึ่งจะทะลักออกมาในฤดูหนาว
และในปราสาทที่แสนลึกลับในความสวยสง่าชวนขนลุกแห่งนี้ ในแต่ละคืน Edith กลับต้องพบกับปริศนาของ ผี วิญญาณ ที่ออกมาสร้างความสงสัยให้กับเธอ อีกทั้งปริศนาของห้องในปราสาทบางส่วนที่เธอถูกห้ามเข้าไป ยิ่งนับวันเธอกลับต้องพบกับความ ลึกลับของวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับ สามีของเธอ และพี่สาวของเขา อีกทั้ง Dr. Alan เองก็ได้สืบสวนไปยังประวัติของตระกูล Sharpe ยิ่งพบเรื่องน่าสงสัยทำให้เขาต้องเดินทางมาเพื่อเตือน Edith
เป็นภาพยนตร์ของ Guillermo del Toro ดังนั้นเชื่อมือได้ในเรื่องของการดีไซน์ แต่สำหรับการดำเนินเรื่อง กลับกลายเป็นว่า Crimson Peak ทำได้น่าผิดหวังเนื่องจากการเล่าเรื่องที่ตรงเกินไป ทำให้สิ่งที่ช่วยพยุงหนังไว้ได้คือ การออกแบบชุด Concept Art ที่แสนเลิศหรู อลัง เช่นเดียวกันกับการออกแบบผีที่ดูมีเอกลักษณ์จนน่าทึ่ง ทำให้หนังไปได้ในทิศเดียวและจบแล้วจบเลย จะจำได้ดีก็แค่ ฝ่ายศิลปของหนังเรื่องนี้นี่แหละ
คะแนน 6.5/10 ให้คะแนนเพราะความเลิศหรูอย่างเดียว และเอกลักษณ์ของผีเลยนะเนี่ย