
Doctor Strange ภาพยนตร์ฮีโร่เรื่องใหม่จากค่าย Marvel ที่หยิบเอาเนื้อเรื่องของเวทย์มนต์ปกป้องโลก แต่ที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นแก่นของเรื่องคือการละซึ่ง อัตตา ของตัวเอง
อันที่จริงผมไม่ค่อยรีวิวภาพยนตร์ หรือหนังใหม่ๆ ที่ชนโรงนักโดยเฉพาะหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ โดยเฉพาะของ Marvel, DC อย่าง Avengers เป็นต้น เพราะมันไม่มีแก่นเรื่องให้เล่า เป็นเพียงหน่วยเฉพาะกิจออกมารวมตัวกอบกู้โลกตามขนบของ Comic ที่ Stand Lee สร้างขึ้น, จนกระทั่งผมได้เข้าไปดู Doctor Strange จะว่าไปก็ตามสูตรของหนังฮีโร่ Marvel คล้ายๆ Iron Man ที่ชอบอันดับแรก, Captain America และเรื่องที่ชอบมากกว่า Captain America คือ Ant Man ทั้ง 3 เรื่องในภาคแรกที่มีการปูเนื้อเรื่องตัวละคร เกิดเหตุความเป็นมาให้กลายเป็นฮีโร่ แล้วก็จบด้วยการกู้โลก แต่ที่ต้องลุกขึ้นมารีวิวหนัง Doctor Strange ครั้งนี้เพราะแก่นที่เรื่องราวหยิบยกมาเล่าผ่านตัวละครหลักนั้นมันน่าสนใจ และมันคือความเป็นจริงที่เราเจอกันทุกวันในสังคมนี้ นั่นคือการละ หรือ ลด สิ่งที่เรียกว่า “อัตตา” หรือ “อีโก้”
Dr. Stephen Strange (Benedict Cumberbatch) นายแพทย์ดีกรีปริญญาเอกผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการแพทย์สมัยใหม่ ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหน้าที่ การงาน ฐานะทางสังคม แต่ก็มีข้อเสียคือความหยิ่ง และเชื่อมั่นในตัวเองชนิดที่เรียกว่า อีโก้สูง และมักจะทำร้ายจิตใจคนใกล้ตัวทั้งตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจผ่านการพูดจาถากถาง บางครั้งก็เกินเลยไปถึงการกระทำ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์และอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างเขาได้เช่นเดิม หน้าที่การงานก็หมดไป หนี้สินเงินทองทั้งหมดถูกใช้ไปเแทบจะหมดหน้าตักเพื่อหาทางรักษามือทั้งสองข้างของตัวเอง ที่สำคัญเมื่อถึงเวลาที่เขาตกต่ำถึงขีดสุด เพื่อนฝูงในสังคมก็ไม่ยอมช่วยเหลือ เพราะ อัตตา หรือความหยิ่งผยองของเขาในอดีต จนเกินเลยไปถึงตัดขาดความสัมพันธ์ทำร้ายจิตใจแฟนสาว Christine Palmer (Rachel McAdams)
เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งได้เล่าเรื่องชายหนึ่งชื่อว่า Jonathan Pangborn (Benjamin Bratt) ที่ฟื้นจากอาการอัมพาตทั่วร่างกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำให้เขาได้ข้อมูลถึงสถานที่แห่งหนึ่งใน เนปาล แลสถานที่แห่งนั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล กับการได้พบกับ ปรมาจารย์ The Ancient One (Tilda Swinton บทนี้เท่มาก)
ที่นำพาเขาไปสู่เส้นทางของจอมเวทย์ และ เข้าสู่สงครามที่ Avengers ไม่อาจจะเข้ามาช่วยได้กับจอมมาร Dormammu ผู้อยู่เหนือกาลเวลาที่ต้องการลบสมดุลของวงจรชีวิตบนโลกที่กำลังจะถูกปลุกขึ้นด้วยฝีมือของ จอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายKaecilius (Mads Mikkelsen)
แก่นของเรื่องที่ทำให้ผมชอบนั้นไม่ใช่เรื่องของเวทย์มนต์ผ้าคลุม คาถาเท่ๆ การต่อสู้แต่อย่างไร แต่กลับเป็นสภาวะของการที่สอนเราให้รู้ถึงการ ถ่อมตัว การละซึ่งอัตตา หรือ อีโก้ ความมั่นใจของตัวเองให้กลับมารับฟังเสียงของโลก เสียงของคนอื่น
การลดละซึ่งอัตตาของตัวเอก (ตัวเอง) กลายเป็นปรัชญาเบาๆ ที่หนังแทรกเข้าไว้ในเนื้อหาแกนกลางของเรื่อง เช่นตัวเอก Dr. Stephen Strange ในเวลาก่อนที่จะเป็นจอมเวทย์มันสะท้อนได้ถึงความหยิ่งสโย หรืออีโก้ ที่เราสัมผัสได้ในชีวิตจริงจากคนรอบข้าง คนที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งคนที่อีโก้สูงมากแต่ไม่เราไม่ค่อยรู้จักเท่าไรอย่างตัวเราเอง สิ่งที่ไม่รู้ก็แกล้งว่ารู้ ไม่มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง จนกระทั่ง ลดอีโก้ของตัวเองลง Dr. Stephen Strange ก็ได้รู้แล้วว่ายังมีหลายสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้บนโลกใบนี้อีกมาก และพร้อมที่จะยอมรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ให้เป็นเหมือนน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว
และจากการลด อัตตา หรือความผยองลงไปแล้วก็ทำให้ส่งต่อไปยังฉากปิดท้ายในการต่อกรกับ Dormammu ด้วยวิธีการที่สุดแสนฉลาด ในมิติวังวลที่ไร้ซึ่งกาลเวลา (มิติมืด) ที่ทำให้ Doctor Strange สามารถชนะและกอบกู้โลกด้วยการ “แพ้” ได้ไม่สิ้นสุด
คะแนน 8.0/10 ชอบแก่นของเรื่อง เพราะคนที่น้ำเต็มแก้วยังคงมีอยู่อีกมากมายในชีวิตจริงของเรา
แต่อัตตาหรืออีโก้นั้นจะให้ลดหมดก็ไม่ดี อาจจะมีไว้สักหน่อยก็ได้ อย่างที่ตัวเอกบอกเวลาคนเรียกชื่อ ก็จะบอกว่า “Doctor, Doctor Strange” คราวนี้ก็อยู่ที่จำนวนอีโก้ที่แต่ละคนจะมีมากน้อยแล้วล่ะครับ