
เกิดคดีการตายผิดธรรมชาติของครอบครัวหนึ่ง นักจิตวิทยานิติเวท Kate รับหน้าที่สืบคดี พยานผู้เห็นเหตุการณ์ผู้เดียวเป็นเด็กน้อย Sophie ที่พูดเพียงคำว่า “Mara”
หลังเกิดคดีการตายผิดธรรมชาติของครอบครัวหนึ่ง Kate (Olga Kurylenko) นักจิตวิทยา รับหน้าที่รับผิดชอบการสืบพยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นเด็กน้อยในวัย 8 ขวบอย่าง Sophie (Mackenzie Imsand) เธอเอ่ยปากพูดเพียงคำว่า “มาร่า(Mara)” จากการสอบสวนเมื่อ Kate ถลำลึกไปกับการสืบคดีทำให้เธอได้พบกับกลุ่มคนที่อ้างว่าพวกเขาถูกทรมานจากปีศาจร้ายที่ตามหลอกหลอนผู้คนมาอย่างยาวนาน และจะทำร้ายพวกเขาได้เฉพาะในตอนที่หลับเท่านั้น Kate ต้องเร่งไขคดีปริศนาครั้งนี้ก่อนที่เธออาจจะต้องตกเป็นเหยื่อรายถัดไป
เกล็ดภาพยนตร์:
ภาพยนตร์สยองขวัญ Mara มีพื้นฐานแนวคิดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปคืออาการอัมพาตชั่วขณะเวลานอน หรือ ที่หลายคนรู้จักกันว่า “ผีอำ” (ร่างกายไม่สามารถขยับได้ แต่เราสามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งรอบข้าง)
อาการผีอำนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เคยมีประสบการณ์ครั้งนี้ Clive Tonge ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้กล่าวว่า
“ผมได้ไอเดียนี้มาตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่น เพื่อนของผมบอกว่าโดนผีอำ รู้สึกตัวแต่ขยับไม่ได้ ผมก็สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง จนกระทั่งเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผมไปเที่ยวต่างเมือง และเข้าเช็คอินที่พักเก่าแห่งหนึ่ง คืนนั้นด้วยความที่ตัวเองเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงเผลอหลับไป แล้วกลางดึกคืนนั้น เขามารู้สึกตัวเองอีกที แต่คราวนี้ เขาไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้เลยแม้แต่น้อย ประสาทสัมผัสของผมยังดีทุกอย่าง ผมได้ยินเสียงทีวีที่เปิดอยู่ มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบห้อง แต่แค่จะเอื้อมไปหยิบรีโมตยังทำไม่ได้เลย ผมจำได้ว่าหัวใจเต้นเร็วมาก เพราะเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เวลาผ่านไปได้สัก 1 นาที ผมถึงสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง”
นับตั้งแต่ตอนนั้นเองที่เขาสนใจเรื่องอัมพาตขณะหลับ และเริ่มไปศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังแน่นอนว่ามันสามารถอธิบายในรูปแบบวิทยาศาสตร์ได้ว่าอาจจะมาจากร่างกายที่เหนื่อยล้าชั่วขณะแต่ทำไมบางคนที่เกิดอาการอัมพาตขณะหลับแล้วถึงรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างเขาเก็บเอาไอเดียเหล่านี้ไว้จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสมาสร้างภาพยนตร์
Clive Tonge เองเป็นนักทำภาพยนตร์ขนาดสั้นแนวสยองขวัญมาก่อน จนกระทั่งไปได้ไปเข้าตากับ Steven Schneider โปรดิวเซอร์ชื่อดัง ที่เคยคุมงานภาพยนตร์สยองขวัญที่โด่งดังอย่าง Paranormal Activity และ Insidious มาแล้ว Steven เองเป็นนักสร้างภาพยนตร์ที่ชอบไปงานเทศกาลภาพยนตร์เล็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเทศกาลหนังสยองขวัญเสียด้วยSteven กล่าวว่า
“ผมชอบการไปรับชมภาพยนตร์ในเทศกาลหวีดสยองขวัญอยู่เรื่อย ทุกๆ ปี ผมจะได้เจอหนังที่โดดเด่น หรือนักทำภาพยนตร์ที่มีไอเดียที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยเงินหรืองบประมาณที่จำกัด แต่พวกเขาสามารถทำภาพยนตร์ออกมาได้อย่างน่าสนใจขนาดนี้ ลองนึกถึงภาพถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุนที่ดี เขาจะสามารถพาเราไปได้ไกลขนาดไหน”
Steven ได้พบกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Sunday Best หนังสยองขวัญว่าด้วยเรื่องราวของชายที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากบ้านหลังหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นเรื่องสยองที่ไม่มีใครคาดคิด Steven กล่าวว่า
“เขาสามารถทำภาพยนตร์แบบ The Texas Chainsaw ผสมกับภาพยนตร์สยองขวัญประเภทโรคจิตได้อย่างเนียนมาก มันทั้งระทึกแล้วก็ทำให้ท้องไส้เราปั่นป่วนด้วยความจิตป่วยของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ติดต่อไปที่ ไคล์ฟ และคุยกันเพื่อหาโอกาสหรือไอเดียในการทำภาพยนตร์ขนาดยาว
Clive กล่าวว่า
“ตอนแรกผมคิดว่านี่เป็นเรื่องตลก ผมรับสายแล้วคนในปลายสายพูดว่า เขาเป็นตัวแทนจากคุณSteven เมื่อ Stevenได้ดูภาพยนตร์ของผมและเขาชอบมันมาก เขาอยากคุยกับคุณ ผมเลยตอบกลับไปว่า นี่คุณล้อเล่นใช่มั้ย”
และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อClive Tonge ไปพบกับ Steven จริงๆ และเขาก็ยังแทบจะไม่เชื่อตัวเองเสียเท่าไหร่นัก
“เราไปเจอกันที่คาเฟ่ แล้วเขาก็แนะนำตัวว่าเขาเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์มาก่อน และตอนนี้ผันตัวมาเป็นโปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดคือ Paranormal Activity คุณคุ้นหูไหม ผมก็อยากที่จะบอกว่า จะบ้าหรอ มีใครบ้างไม่รู้จัก ตอนนั้นผมชอบเขาที่เขาเป็นมิตรและถ่อมตัวมาก โดยคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้จักภาพยนตร์ของเขา เขาไม่ได้ทะนงตนเลยว่าเขาทำภาพยนตร์ดังมา มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”
Clive กล่าว
Steven ถาม Tonge คุณอยากลองทำภาพยนตร์ยาวดูไหม แล้วคุณมีไอเดียอะไรบ้าง ในตอนนั้นTonge คิดออกแต่เพียงเรื่องเดียวที่เขาอยากทำมาตั้งแต่ที่เริ่มทำภาพยนตร์แต่ไม่มีโอกาสได้ทำมันเสียที เขาจึงเล่าประสบการณ์การถูกผีอำของเขาและของเพื่อน Steven สนใจในไอเดีย แต่เขาบอกว่า เขาอยากให้มันมีเรื่องราวที่อ้างอิงจากข้อเท็จจริงซึ่งมันจะน่าสนใจมาก ถ้ามันมีการค้นคว้าวิจัย เขาเชื่อว่ามันจะน่าสนใจมากกว่านี้ เขาจึงให้เวลา Clive กลับไปหาพลอตเรื่องที่มีฐานจากไอเดียนั้น
การบ้านอันหนักหน่วงของ Clive คือการพยายามหาพลอต หาเรื่องราวที่ขายได้ มันไม่เหมือนกับการทำภาพยนตร์สั้นอีกต่อไปแล้ว ในภาพยนตร์สั้นคือการที่เรานำบิ๊กไอเดีย มาสร้างสถานการณ์ มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเล่าเรื่องที่มากมายนัก แค่เป็นช่วงเหตุการณ์ๆ หนึ่งเท่านั้น แต่กับภาพยนตร์ยาวเขาต้องกลับมานั่งคิดใหม่ หาจุดเริ่มต้น หาจุดเชื่อมโยง และสุดท้ายจะให้มันจบอย่างไร
เมื่อเขาได้เริ่มค้นหาก็ยิ่งสนุกไปกับมัน การเป็นอัมพาตชั่วขณะนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เป็นเรื่องปกติ แต่มีจำนวนหนึ่งที่พูดถึงเรื่องราวของการที่พวกเขาโดนหลอกหลอนจากสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่าผีอำนั้นแทบจะมีพูดเหมือนกันทั่วโลก พวกเขาประสบเหตุไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางครั้งเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่หลายเคสก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วจุดจบของแต่ละเหตุการณ์ควรจะเป็นแบบไหน สุดท้ายแล้วเขาต้องมาชะงักกับคำๆ หนึ่งหลังจากการค้นคว้า นั่นคือคำว่า “ไหลตาย”
Clive Tonge ติดใจกับคำว่า “ไหลตาย” (SUND – Sudden Unexpected Death Syndrome) อาการของคนที่ตายโดยกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ดังนั้น เขาจึงคิดที่จะผูกเรื่องราวเข้าเอาไว้ด้วยกัน เมื่อเขาลองค้นคว้าเหตุการณ์ก็พบกับความน่าเหลือเชื่อ จากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาวม้งที่ลี้ภัยไปที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1977 ที่ทั้งหมดตายกะทันหันในขณะที่หลับ และอีกครั้งเกิดที่สิงคโปร์ เมื่อคนไทย 230 ชีวิต ในระหว่างปี 1982 ถึงปี 1990 ได้มีรายงานการเสียชีวิตจากการไหลตาย นอกจากนั้นยังเกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์และอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยสาเหตุการตาย ตามความเชื่อของคนโบราณที่พวกเขาได้สัมผัสกับวิญญาณ แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ทำให้ Tonge ถึงกับอึ้ง เพราะการที่เขาคิดเล่นๆ ว่าการโดนผีอำจะสามารถนำไปสู่การไหลตายได้ แต่ปรากฏว่ามันอาจเคยเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนพวกนั้นตายกันแน่
Clive Tonge พูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญที่เขาชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง The Ring ในฉบับฮอลลีวูด เขายอมรับว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนจากภาพยนตร์ต้นฉบับญี่ปุ่น (Ringu) แต่เขากลับชอบเรื่องราวของการไล่ล่าตามหาข้อเท็จจริงแข่งกับเวลาที่จะสามารถปลดปล่อยเธอและลูกออกจากคำสาปได้
“ผมคิดว่ามันคือภาพยนตร์ระทึกขวัญที่มีส่วนผสมของภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนมันเลยทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจและน่าติดตามตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ถ้าคุณมัวแต่เล่าเรื่องสยองขวัญน่ากลัวด้านเดียว ผมคงเบื่อมันมาก แต่นี่มันคือความสดใหม่ของภาพยนตร์ระทึกขวัญ เมื่อผมมีโอกาสได้ทำภาพยนตร์ผมจึงจะพยายามเอาข้อดีเหล่านั้นมาใส่ในภาพยนตร์ของตัวเอง”
แต่ก่อนที่เขาจะได้สิ่งที่เขาต้องการ เขาจำเป็นต้องหาคนเขียนบทที่เขาวางใจ นั่นก็คือ โจนาธาน แฟรงค์ ที่เคยมีผลงานอย่าง The Tournament ที่มีนักแสดงอย่าง โรเบิร์ต คาร์ไล และ วิง เรมส์ นำแสดง ทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแต่ไม่ได้สนิทกันนัก Tonge ไม่ใช่ผู้กำกับที่ถนัดงานด้านการเขียนบท เขามีแค่ไอเดียคร่าวๆ กับเรื่องราวที่เขาอยากจะเล่า เขาจึงหาคนที่สามารถจะถ่ายทอดสิ่งที่เขาคิดออกมาเป็นบทภาพยนตร์ได้ ทั้งคู่เริ่มทำงานร่วมกันได้อย่างดี Tonge รับหน้าที่การค้นหาข้อมูลอ้างอิง ส่วน โจนาธาน เป็นคนนำไอเดียเหล่านั้นมาสร้างสถานการณ์
หลังการพูดคุยทำความรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว เขาสังเกตว่าสิ่งที่ Clive ชอบนั้นเป็นอย่างไร เขาเลยพยายามเขียนบทเรื่องนี้ให้เป็นไปในแนวทางที่ Clive ชอบ ดังนั้นภาพยนตร์จึงมีการพยายามเอาชนะคำสาปก่อนที่มันจะสายเกินไป ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้หญิงที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา อีกทั้งยังมีความสามารถในการสืบคดี ช่างสังเกต คดีสุดหินที่เธอได้รับเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นภายในบ้านหลังหนึ่ง ครอบครัวนั้นผู้เป็นพ่อได้เสียชีวิตไปอย่างประหลาด ผู้เป็นแม่คือผู้ต้องสงสัยอันดับต้น และ เด็กสาวผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยความที่เธอเป็นจิตแพทย์เธอจึงต้องพูดจาหว่านล้อมเพื่อที่จะให้เด็กสาวพูดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โดยสัญญาว่าถ้าเธอเล่าทุกสิ่งแล้ว แม่ของเธอจะไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา และนั่นอาจจะเป็นคำสัญญาลวงที่ส่งผลในอนาคต
“จากการค้นคว้าวิจัยมาหลายแห่งเรามักจะค้นไปเจอกับคำว่า มาร่า (Mara) ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก”
Tonge กล่าว คำว่า Mara ได้กลายเป็นคำที่ใช้ในหลากหลายประเทศทั่วโลก แต่การสะกด การออกเสียงจะต่างออกไปบ้าง Mara ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำมาใช้เป็นคำที่เรายกมาจากนิยายพื้นบ้านของแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งมันคือปิศาจร้าย (Demon) เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ คำว่า “มาร” ในประเทศไทย เป็น มารที่อยู่ในศาสนาพุทธ, ในฮินดู Mara คือเทพเจ้าแห่งความตาย สิ่งนี้เองที่กลายเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะมาเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน
เกี่ยวกับการถ่ายทำ
หลังจากที่บทภาพยนตร์ได้กลายเป็นรูปเป็นร่างจากการร่วมงานกันของ Clive Tonge และ โจนาธาน แฟรงค์ พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะนำไปเสนอกับโปรดิวเซอร์ยิ่งใหญ่แห่งยุคอย่าง Steven Schneider ผู้ที่เคยมีผลงานสุดโด่งดังอย่าง Paranormal Activity และ Insidious และกลายเป็นว่าเมื่อStevenได้อ่าน เขาชอบมันมาก
“ผมได้ให้เวลาเขาไปทำการค้นคว้า แต่สิ่งที่เขาทำมา มันลงรายละเอียด และมีจุดหักมุมที่โดดเด่นกว่าหลายเรื่องที่เขาเคยเจอมา”
Stevenกล่าว
แต่ถึงกระนั้นด้วยความที่โปรดิวเซอร์มือทองอยู่ในช่วงที่งานถาโถมเข้ามาตลอดทั้งปี ไม่ว่าการเตรียมงานสร้าง ภาพยนตร์ภาคต่อ ของ Paranormal Activity และ Insidious เลยกลายเป็นว่า คิวงานของเขานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ทำให้งานภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงกับสะดุดออกไปหลายปี Steven กล่าวว่า
“ผมรู้สึกเสียใจและเสียดายมากที่ช่วงนั้นผมมัวแต่วุ่นกับงานที่รายล้อมเข้ามาไม่หยุดหย่อน หลายเรื่องเป็นภาพยนตร์จากสตูดิโอใหญ่ที่เขาพร้อมและมีเงินมากพอ มีนักแสดงที่เรียงคิวกันมา และทุกเรื่องล้วนมีความเป็นไปได้ในการที่มันจะออกมาประสบความสำเร็จ”
แต่หลังจาก Paranormal Activity: The Ghost Dimension Steven เริ่มรู้สึกว่าเขาแอบเบื่อหน่ายกับซีรีส์ภาพยนตร์ภาคต่อชุดนี้แล้ว และถึงเวลาแล้วที่เขาจะหันไปหางานอื่นที่เขาสนใจ และภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาหยิบมาคือภาพยนตร์เรื่อง Mara เขาจำได้ว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทภาพยนตร์ที่เขาชอบ และอยากที่จะร่วมงานด้วย แต่ด้วยความที่เขาหาคิวงานที่ว่างไม่ได้ในช่วงนั้น เลยทำให้เขาต้องปฏิเสธการสร้างไป ดังนั้นเมื่อเขามีเวลาเขาจึงติดต่อกลับไปที่ Clive Tonge ถามว่า
“คุณพร้อมที่จะทำภาพยนตร์เรื่องนี้ไหม”
Clive Tonge หลังจากที่อกหักมาเมื่อคราวนั้น ได้ค้นพบทางสว่างขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขายังวนเวียนอยู่กับวงการภาพยนตร์สั้นมาสักระยะ
“ตอนที่เขาโทรมา ผมก็ตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก ใจนึงก็ยังโกรธอยู่ แต่อีกใจนึงก็แอบดีใจว่าในที่สุดความฝันของเขากำลังจะเป็นจริง”
และแล้วทั้งคู่ก็ได้กลับมาตั้งโต๊ะคุยกันอีกครั้ง Steven บอกกับ Cliveว่า งานที่ยากที่สุดในตอนนี้คือการหานายทุน เขาจะพยายามหาคอนเนคชั่นที่เชื่อมั่นในตัวเขาและจะลองไปขายบทนี้กับเหล่านายทุน เขาต้องการให้ Clive ไปด้วยกันกับเขา เพื่อให้เห็นว่าศักยภาพของเขาเป็นไปได้แค่ไหน และจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คืออะไร
แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อ Steven หานายทุนได้ด้วยเวลาไม่นานนัก Wendy Rhoads ผู้ที่เคยกำผลงานสยองขวัญอย่าง The Haunting in Connecticut ได้กล่าวว่า
“แน่นอน ตอนที่Stevenขอเข้ามาคุยเรื่องโปรเจคภาพยนตร์ใหม่ ฉันไม่มีทางปฏิเสธเขาได้อยู่แล้ว Steven มองเห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็น เราจึงเชื่อใจเขา แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ฉันสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความน่ากลัวของมัน Mara คือปีศาจที่อยู่ในความฝัน เราทุกคนต่างเคยผ่านประสบการณ์โดนผีอำ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น และฉันเชื่อเหลือเกินว่าบางเรื่องมันไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายมันได้หมดทุกอย่างหรอก”
การเป็นอัมพาตขณะหลับ และ การไหลตาย เป็นสิ่งที่ Wendy สนใจเป็นอย่างมาก เธอจึงไม่ลังเลที่จะลงทุนกับภาพยนตร์เรื่องนี้
สิ่งถัดไปที่ต้องทำคือการคัดเลือกนักแสดง Johnathan คิดภาพในใจไว้คือ Naomi Watts จากเรื่อง The Ring และพวกเขาก็ลองติดต่อไปที่เธอจริงๆ แต่ด้วยความที่ตารางงานที่ค่อนข้างเร่ง เธอจึงไม่สามารถที่จะมาร่วมถ่ายทำได้ ทาง Clive เอง จึงต้องหาตัวเลือกสำรองจากฝ่ายแคสติ้งและเขาเล็งเห็นรายชื่อนักแสดงที่สะดุดตามากชื่อหนึ่งนั่นคือ Olga Kurylengo นักแสดงหญิงที่เมื่อพูดถึง ก็จะมีแต่ภาพของนักแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่น เพราะงานที่ผ่านมาของเธอ ไม่ว่าจะเป็น Quantum of Solace, Oblivion, Hitman และ Momentum นั้นล้วนแต่เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นแทบทั้งสิ้น เราจึงไม่คุ้นหน้าเธอกับการรับบทภาพยนตร์สยองขวัญแน่ๆ การที่เราจะให้เธอมารับบทภาพยนตร์สยองขวัญมันคงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ
เมื่อได้มีโอกาสเลือกนักแสดงระดับที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางแล้ว พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย บทบาทนี้จึงไปตกเป็นของเธอย่างง่ายดาย
“เขาส่งบทมาให้ฉันอ่าน และบอกว่า พวกเขามั่นใจมากว่าบทนี้มันเข้ากับฉัน”
และเมื่อเธอได้ลองอ่าน เธอก็ตกใจมากเพราะนี่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องแรก ที่เธอได้รับ ส่วนใหญ่แล้วงานเก่าที่ผ่านมาของเธอจะเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น การแสดงสีหน้า ท่าทางต่างๆ มันก็เป็นการออกแบบมากับภาพยนตร์แบบนั้น แต่นี่กับภาพยนตร์สยองขวัญ ที่มันต้องมีฉากที่เธอจะต้องเจอกับปีศาจร้ายในขณะที่หลับ เธอจะไม่สามารถขยับอะไรได้ ฉะนั้นมันจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงออกทางสีหน้าเพียงเท่านั้น และนี่เองที่เป็นเหตุผลที่เธอตัดสินใจที่จะแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้
“ฉันชอบภาพยนตร์สยองขวัญที่แข่งกับเวลา มันมีทั้งความเป็นสยองขวัญและลุ้นระทึกกับการที่เธอจะทำอย่างไรเพื่อให้มีชีวิตรอด”
Olga กล่าว นี่คือสิ่งที่ทำให้เธอชอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากเธอจะเป็นนักจิตวิทยาแล้ว เธอยังเป็นคนฉลาด จิตใจดี เธอมีปมในอดีต ที่ไม่อยากทำให้เด็กน้อยจะต้องทนทุกข์ในแบบที่เธอเคยเป็นมา นอกจากการที่เธอจะต้องเอาชีวิตตัวเองให้รอดด้วยแล้ว เด็กน้อยก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับคำสาปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้วเธอจึงต้องทำทุกวิถีทางที่แข่งกับเวลาเพื่อที่จะช่วยชีวิตเด็กคนนั้น
และอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ มาร่า ปีศาจร้ายในฝันของเรื่อง
“ในบท เราจะได้เห็นเธอมาแบบเล็กๆ น้อยๆ มาก แต่กับผม ผมอยากทำอะไรที่แปลกสุดโต่งให้คนดูต้องเหวอ ถ้าคุณลุกออกจากโรงภาพยนตร์แล้วไม่เหวอ แปลว่าเรามาไม่ถูกทาง”
Steven กล่าว ฉะนั้นแล้วการที่จะทำให้คนดูอึ้ง จึงจำเป็นที่จะต้องคิดนอกกรอบ ประจวบเหมาะกับ ช่วงนั้นภาพยนตร์เรื่อง [REC] ได้โด่งดังเป็นพลุแตก ภาพยนตร์ผีบ้าที่เกิดขึ้นในอพาทเมนท์แห่งหนึ่ง และสิ่งที่โด่งดังมากๆ ในเรื่องนั้นคือ นักแสดงทีชื่อ ฮาเวียร์ โบเต็ด ที่รับบทเป็น ผีบ้า ที่สุดหลอน ด้วยโครงสร้างทางร่างกายที่ผิดปกติ ผอม สูง ของเขา ได้ทำให้เขาได้รับบทผี ในอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น เรื่อง Mama, Crimson Peak, The Conjuring 2, The Mummy, Insidious: The Last Key และ ผลงานที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง Slender Man ด้วยความโดดเด่นของร่างกายเขา ทำให้ Steven ได้เกิดไอเดียขึ้นมาว่า เราให้ Javier เล่นบท Mara เขาไม่อยากที่จะทำภาพยนตร์ผี CG เยอะๆ แต่ต้องการให้มันดูสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และเขาเชื่อว่าถ้าผู้ชมได้เห็นมาร่าในแบบฉบับนี้ คนดูจะต้องเหวอ แบบที่เขาคิดแน่นอน
การเข้ามาของ Javier Botet ได้เติมเต็มภาพยนตร์เรื่องนี้ การที่เราตั้งชื่อภาพยนตร์ว่า Mara มันควรจะมีอะไรที่มากกว่าสัญลักษณ์ของความน่ากลัวในขณะที่เราหลับ แต่ถ้าหากมันมีตัวตน ที่เรามองเห็นแล้วเรารู้สึกสยองไปกับมันจริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่ดี การแสดงของเขาได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องครบสูตรของความน่ากลัว ผู้ชายที่มาในคราบปีศาจหญิงแก่ รูปร่างหน้าตาที่ผิดรูป ได้เพิ่มดีกรีความสยองของภาพยนตร์ได้อีกหลายขุม และนอกจากการแสดงแล้ว ผู้กำกับยังออกปากชมทีมแต่งหน้าที่สร้างสรรค์ตัวปิศาจได้น่ากลัว อย่าง Bill Johnson ที่เคยผ่านมาจาก The Hunger Games, The 5th Wave และภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง Oculus เขาได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ Clive กล่าวว่า
“เราดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับ Bill เขาเป็นคนที่เก่ง เราแค่บอกเขาว่าเราอยากได้ผีน่ากลัว และมีรูปปีศาจจากงานวิจัยของเรามา แต่เขาทำได้เกินกว่าที่เราคาดหวังไว้มาก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมาก”
ภาพยนตร์ได้ผี มาร่า (Mara, Javier Botet) ตามที่พวกเขาคาดคิดไว้ ทำให้การถ่ายทำราบรื่น
ภาพยนตร์ได้ยกกองกันไปถ่ายทำที่เมือง ซาวันน่า รัฐจอร์เจีย ซึ่งนับว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐนี้ และคงไม่มีอะไรที่หลอนไปกว่าที่นี่ เพราะที่แห่งนี้ยังเป็นเมืองท่าของการปฏิวัติของพลเมือง (Civil War) ด้วยบรรยากาศเมืองที่มีความเก่าแก่และมีโศกนาฎกรรมเกิดขึ้นหลายครั้งจึงเป็นเหตุผลที่เหมาะมากในการเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
ในช่วงของการถ่ายทำสิ่งที่ประทับใจผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มากที่สุดคือการแสดงของ Olga Kurylengo เพราะตอนแรกพวกเขาก็แอบหวั่นวิตกว่าเธอจะสามารถแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หรือไม่ แต่กลายเป็นว่าความเป็นมืออาชีพของเธอทำให้การแสดงของเธอนั้นลื่นไหล แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสิ่งทีแก้ไขเลยสักนิด Olga ได้บอกว่า เธอได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี และ Clive ก็ช่วยเธอได้มาก เขาสามารถอธิบายบท ของเธอได้อย่างละเอียด ทั้งคาแรกเตอร์ที่ต้องเป็น การแสดงความกลัว ว่าลิมิตมันอยู่ที่ตรงไหน และจุดไหนคือจุดที่เป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง
ในเรื่อง Olga ต้องแข่งกับเวลาเมื่อเธอรู้ว่าเธอเองก็ได้กลายมาเป็นเหยื่อเช่นกัน การอดหลับอดนอน คือวิธีหนีผีที่ดีที่สุด แต่เธอจะสามารถอดนอนได้นานสักแค่ไหน คนเราเมื่อไม่ได้นอนมาหลายวัน จะเกิดอาการทางประสาทขึ้นมาอีก ทำให้เราแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งที่จริง อะไรคือสิ่งที่ลวง สิ่งนี้คือสิ่งที่บทภาพยนตร์ได้ใส่รายละเอียดไว้อย่างดี ทำให้ฉากเหล่านี้นักแสดงแต่ละคนทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีสับสน
ภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำทั้งสิ้น 2 เดือน จากการเตรียมงานค้นคว้า เกือบ 5 ปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผลงานภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์
Mara ตื่นไหลตาย (2018) กำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ 20 กันยายนนี้
ขอบคุณข้อมูลภาพยนตร์จาก