
หนังโคตรแนวนำแสดงโดย Jared Leto ว่าด้วยเรื่องของอนาคตที่คนเราจะเป็นอมตะ มีเพียงคนสุดท้ายที่จะต้องแก่ตายคือตัวเอกกับการสัมภาษม์ชีวิตในอดีตหลายเหตุการณ์
ผลงานกำกับของ Jaco Van Dormael ที่มาพร้อมกับไอเดียโคตรบรรเจิด บวกกับการแสดงของพระเอกหนังอาร์ตขวัญใจเด็กแนว Jared Leto ในบทบาทของชายคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลกที่กำลังจะแก่ตาย ซึ่ง ณ เวลาที่เรื่องดำเนินไปแล้ว ตัวเขาเองก็ย่างกรายเข้าสู่วัย 120ปี ในโลกอนาคตปี คศ. 2092 ที่ตอนนั้นมนุษย์ทุกคนต่างใช้นวัตกรรมเปลี่ยนชีวิตให้ แต่ละคนเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย
เมื่อเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่กำลังจะแก่ตายก็เลยเป็นคนดังทันที เพราะเข้าข่าย “ของแปลก” สื่อทั้งหลายเลยนัดสัมภาษม์ตัวเอกของเราเกี่ยวกับชีวประวัติของเขาตลอดมาจนถึงวัย 120 ปี เหตุการณ์ในภาพยนตร์จึงเป็นการย้อนกลับไปยังชีวิตวัยหนุ่มของตัวเอกคนนี้ กับเรื่องราวที่ผ่านหูผ่านตาผ่านชีวิต มากมายให้ได้สัมภาษม์กัน ตัวเขาก็เลยเล่าเรื่องราวของเขาออกมาเป็น 3 เหตุการณ์ ไล่คู่กันในระยะเวลาเดียวกัน {เอ๊ะ งง ใช่ไหม?}
คำเตือน: สปอลย์โคตรๆ และ เปิดเผยเนื้อหาแบบเต็มที่
อย่างที่ว่าไว้ข้างต้นครับ Mr. NoBody ได้ให้สัมภาษม์แก่สื่อเกี่ยวกับ ชีวประวัติของเขา โดยเล่าย้อนหลังตั้งแต่ช่วงวัย 10 ขวบแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 3 เหตุกาณ์ เทียบคู่กัน ความหมายไม่ใช่การแบ่งช่วงอายุ 10 ขวบ ถึง 20ปี แล้วเล่าต่อ 25-50 ปี แล้ตัดไป 60-120 ปีนะครับ แต่เป็นการเล่าชีวิตหลังอายุ 10 ขวบกับทางเลือกของเขาเอง ควบคู่กันไป
เนื่องจาก ช่วงอายุ 10 ขวบของเขา มีเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตคือ พ่อ กับแม่แยกทางกัน ทำให้เขาต้องเลือกเอาว่าจะไปอยู่กับใคร เขาจึงแบ่งทางเลือกของเนื้อเรื่องที่เขาเล่าออกเป็น 3 ทางเลือก คือ เมื่อเขาตัดสินใจไปกับแม่ อีกเรื่องคือตัดสินใจไปอยู่กับพ่อ และอีกทางเลือกคือไม่ไปไหนเลย และเหตุการณ์ทั้งหลายก็เทียบคู่กันไป ตัดสลับกับฉาก Sci Fi สวยงาม CG เนี๊ยบๆ เนื้อเรื่อง เศร้า สนุก ตลก ตลกร้าย จิกกัน และโรแมนติค
จะเห็นว่าเนื้อเรื่องของ Mr. Nobody นั้นคือการเล่าเหตุการณ์ทางเลือกออกเป็นหลากหลายเหตุการณ์ทุกครั้งที่มีทางเลือกเกิดขึ้น และตัวเขาเองตัดสินใจ ณ เวลานั้น เหมือนแยก Timeline ของช่วงเวลาออกเป็น หลายๆ ทางซอยย่อยๆ ถี่ๆ ออกไปเรื่อยๆ ผ่านทฤษฏีมากมายทางวิทยาศาสตร์ที่หนัง หยิบมาพูดผ่านๆ แต่ถ้านั่งฟัง และเอามา Search Google จริงๆ จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหนัง
ดังนั้นดูหนังเรื่องนี้รอบเดียวไม่น่าจะเก็ตครับต้องดูสองรอบ แต่ถ้าดูรอบเดียวแล้วเก็ตทันทีแบบผมเลย เมืองนอกเค้าจัดให้คนประเภทนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกันครับว่า พวกเราเป็น Geek และ Nerds ครับ
ทีนี้พอตัวเอกของเราเล่าเรื่องราวทับซ้อนกันเป็น 3 -4 ทางเลือก สือที่มาสัมภาษม์ก็งงเป็นไก่ตาแตกสิครับว่า ตกลงเรื่องไหนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตัวเอกก็เลยตอบแบบเท่ๆ ไปว่า “เหตุกาณ์ของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เป็นไปได้หมด” แปลไทยเป็นไทยก็คือ ทุกเรื่องเกิดขึ้นจริง และเป็นไปได้หมดครับ อย่างที่บอกมีการพูดถึงทฤษฏี Relativity ของ Albert Einstein อย่าง E=mc2 ที่สั่งสอนให้เรามองโลกด้วยสิ่งใหม่ โดยเอาคำว่า “สามัญสำนึกของเราออกไป” อธิบายแล้วก็ยากครับ ตัวเอกมันจะบอกเราตามทฤษฏีที่ว่า เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้นได้จริง เปลี่ยนไปและวิ่งต่อไปข้างหน้าตามพื้นที่ และเวลาขณะนั้น (ทฤษฏีของ Timeline และ ทฤษฏีทางเลือก ที่อยู่ใน Theory of Relativity นั่นเอง)
ดังนั้นถ้าปราศจากสามัญสำนึกแล้ว ทุกสิ่งที่พูดมา ไม่ว่าจะเคยเกิดจริง หรือไม่จริง เคยเห็น หรือไม่สามารถสัมผัสได้ ทุกสิ่งเหล่านั้น “ล้วนมีความเป็นไปได้” หมดครับ
เพราะถ้าเรามีสามัญสำนึกมาคิดไตร่ตรองเมื่อไหร เราก็จะติดอยู่กับคำถามที่ว่า “จริงหรือ”, “ไม่จริงมั้ง?” ซึ่งทฤษฏีนี้แม้จะเปลี่ยนโลกให้ก้าวหน้า แต่ คู่ตรงข้ามของมันอย่างโลกที่ปราศจากสามัญสำนึกนั้นก็ยังคงถูกวิจัยอยู่มากกว่า 100 ปีผ่านทฤษฏี Theory of Relativity ตลอดไปครับ
ยิ่งอธิบายยิ่ง งง เอาเป็นว่าไปดูเองดีกว่าครับ