
ภาพยนตร์ No Country for Old Men เจ้าของรางวัลออสการ์ ปี 2008 กับความเข้มข้น ในการเล่าเรื่อง และการฉลาดเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชม และตีหัวคนดูให้อึ้ง ประทับใจ
หากให้พูดตามตรงแล้วครั้งแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ จะเห็นว่า หลายๆ คนในโรงตอนนั้นต่างหัวเสีย หงุดหงิด เดินออกมาพร้อมด้วยเสียงบ่นมากมายว่า “หนังเหี้ย…อะไรวะ” เพราะเนื้อเรื่องคือการไล่ล่าระหว่างคน 2 คน แล้วตามด้วยการตามสืบคดีของเจ้าหน้าที่ ขณะที่หนังกำลังเข้มข้นในการไล่ล่า ก็ถูกตัดจบเอาดื้อๆ ในบทพูดของเจ้าหน้าที่กับภรรยา ทำให้หลายคนพาลนึกว่า นี่คือหนังไล่ล่าที่เล่าไม่จบ แล้วมันจะสื่ออะไร 2 ปีผ่านไปผมกลับมานั่งชมหนังเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง ชีวิตผ่านประสบการณ์มากมาย โชกโชนผ่านช่วงเวลา พบเห็นอะไร ต่อมิอะไรมากขึ้น ทั้งการเมือง ศีลธรรม, No Country For Old Men ในครั้งนี้คือความสนุก และเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาดเหมาะกับรางวัลออสการ์ในตอนนั้นจริงๆ
เรื่องราวของ No Country For Old Men เริ่มต้นขึ้นที่ Llewelyn Moss รับบทโดย Josh Brolin นักล่าสัตว์ ในรัฐที่แสนรกร้างไกลปืนเที่ยง
ได้ออกไปพบกับ ซากรถพังเสียหาย และศพคนมากมายายเกลื่อนที่ดูๆ แล้วน่าจะมาจากการต่อสู้กัน พอตรวจสอบไปเรื่อยๆ กลับพบกับชายคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส และกระเป๋าใบหนึ่งที่มีเงินจำนวนมหาศาลอยู่ในนั้น Moss เลยตัดสินใจทิ้งชายคนนั้น แล้วเก็บเงินก้อนนั้นกลับไป แต่ด้วยจิตสำนึกบางอย่างทำให้ Moss ตัดสินใจกลับไปช่วยชายคนนั้น นั่นคือการตัดสินใจผืดเพราะ Moss ต้องเผชิญกับ Anton Chigurh รับบทโดย Javier Bardem นักฆ่าที่อาจจะเป็นเจ้าของเงินก้อนนั้นส่งมาตามเอาเงินคืน
การไล่ล่าของทั้งสองคนเริ่มต้นขึ้นทันที โดยผู้รับผิดชอบคดีนี้คือเจ้าหน้าที่ Ed Tom Bell รับบทโดย Tommy Lee Jones เจ้าหน้าที่วัยใกล้เกษียณที่ต้องออกมาตามแกะรอยคดีฆาตรกรรมที่เกิดขึ้น เพราะทุกๆ ที่ที่ Chigurh เดินย่างกรายเข้าไป ล้วนแล้วแต่ต้องมีคนตายเสมอ
สำหรับ Moss นั้นเปรียบเสมือน คนทั่วๆ ไปแบบเราๆ ที่อยู่ในการตัดสินใจว่า เราจะเป็นคนดี หรือ คนไม่ดี การเห็นแก่ตัวบางครั้งก็ทำให้เราสบาย มักตัดสินใจไม่คิด พาลเอาคนรอบข้างลำบาก (ภรรยาของ Moss)
อีกคนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่น และเป็นลายเซ็นต์ของหนังเรื่องนี้คือ Chigurh ฆาตรกรรมอำมหิตที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว แทบไม่ได้ต้องการเงินค่าจ้าง เลยก็ว่าได้ แต่การตามล่า ตามฆ่านั้นคือเรื่องที่ถนัด อีกทั้งที่เจ้าหน้าที่ Bell แกะรอยไม่ได้สักทีก็เพราะว่า ร่องรอยการใช้กระสุน เขม่าดินปืน หรืออะไรๆ นั้น Chigurh ไม่เคยมีไว้หากสังเกตดีๆ Chigurh จะเดินไปไหมมาไหนพร้อมถังแก๊ส สายยาง ลูกเหล็ก พบเจอใครก็จะสอบถามและชวนเล่นเกม เมื่อคนที่เล่นเกมแพ้ก็จะเอาสายยางอัดลมพุ่งลูกเหล็กฟังหัวคนที่โชคร้ายไป ซ้ำร้ายเหมือนเป็นการเล่นสนุก
ขนาดที่ว่าภรรยาของ Moss ยังกลายเป็นเกมฆ่าเวลาของมันด้วยซ้ำ หรือแม้แต่ตอนท้ายเรื่องที่ Chigurh กำลังเดินทางก็โดนรถชนอย่างจัง เดินบาดเจ็บ เจอเด็กวัยรุ่น 2 คนที่จำหน้าในประกาศว่าเค้าเป็นฆาตรกรได้ Chigurh ก็ไม่รอช้าจ่ายเงินให้เด็กทั้ง 2 ไปจำนวนหนึ่ง แล้วเดินหนีลอยนวลไป ซ้ำหนังยังเลือกที่จะเห็นว่า เด็กทั้งสองกับแย่งเงิน ทะเลาะกันเองด้วยซ้ำ…
No Country For Old Men นั้นเต็มไปด้วยฉากไล่ล่า ระทึก พร้อมเทคนิคการเล่าเรื่องที่ไม่ต้องอาศัยดนตรีประกอบใดๆแม้แต่น้อย ความตื่นเต้นระทึก และความชัวร้ายของ คนนั้นชัดเจนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังพาเราไปพบกับฉากคั่นเวลาของ เจ้าหน้าที่ Bell และ ภรรยา ที่ลำพึงลำพรรณถึงระกูลผู้รักษากฏหมาย และชีวิตที่เขาต้องไล่ตามความชั่ว สังขารที่ไม่อำนวย แต่ก็ต้องการที่จะพดุงความยุติธรรม ความดีต่างๆ ไว้นั่นคือความฝันอันสูงสุด และเค้าก็ตื่นขึ้นจากความฝันกลางวันนั้นแล้วเข้าสู่ความเป็นจริงของโลก โดยการปล่อยมันไปเถอะ… หนังก็จบลง
อย่างที่บอก No Country For Old Men เรื่องมันก็บอกอยู่แล้วว่าไม่มีที่สำหรับคนแก่ ตัวเอกที่เราเข้าใจผิดกันตลอดว่าคือ ชาย2 คนที่หนีตายไล่ล่ากันทั้งเรื่องนั้นคือตัวดำเนินเรื่อง แต่จริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของเจ้าหน้าที่ Bell ชายชราที่กำลังรู้สึกว่า แผ่นดินนี้เริ่มไม่มีที่ให้คนดีอยู่ เพราะไม่ว่าจะจัดการคดีนี้สำเร็จ พรุ่งนี้ก็เกิดคนชั่วคนใหม่ขึ้นมาอยู่ดี
เหตุผลก็เพียงแค่: ความชั่วเติบโตขึ้นตลอดเวลา แต่ความดีกลับแก่ตัวลงเรื่อยๆ
สะท้อนถึง สังคมของปัจจุบันหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยของเราที่นับวันคนชั่วเริ่มทยอยเติบโต ประกาศตน ส่วนคนดีก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในเครือข่ายที่ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะสื่อ หรือคน ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ แม้แต่กฏหมาย ในตอนนี้ที่ผมเห็นนั้น ซื้อได้…
คะแนน: ครั้งแรกปี 2007 ให้ 5/10 – ล่าสุดปี 2009 ตอนนั้นให้ 9/10