
ภาพยนตร์ TAXI DRIVER นั้นนับว่าเป็นผลงานระดับ มาสเตอร์พีชของผู้กำกับ Martin Scorsese กับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Robert De Niro บนความเหงาในมหานคร New York, แม้ว่า ทั้งผู้กำกับ และ นักแสดงคู่บุญ 2 คนนี้จะร่วมงานกันมามากมายหลายเรื่อง และน่าจดจำในบทบาทแรงๆ แปลกแยก เช่น Cape Fear ที่ตีแผ่ประเด็นของการทำหนังแบบ Character Study ได้ดีมาตลอด ซึ่งหากมองย้อนกลับมาที่ TAXI DRIVER แล้วประเด็นของ Character Study ของเรื่องนี้ผ่านตัวละครเอกที่รับบทโดย Robert De Niro อย่าง Travis Bickle นั้นสามารถดึงคนดูให้เข้ามาอยู่ในโลกเบี้ยวๆ บูดๆ ของเขาได้เพียงลำพัง และยังแอบเอาใจช่วยตัวละครอันน่าสงสารตัวนี้อีกต่างหาก
แนวทางของหนังประเภท Character Study (Drive, Revolver, Rock n Rolla) นั้นมีการสร้างมาเพื่อ วิเคราะห์ และสะท้อนประเด็นทางจิต พฤติกรรมแปลกแยก หรือธรรมดา เพื่อมาสะท้อนกับสภาพเหตุบ้านการเมืองในเวลานั้นๆ อย่างเช่นหนังไทยก็คงจะหนีไม่พ้น “ฝนตกขึ้นฟ้า” ของ เป็นเอก นั่นเอง
ภาพยนตร์เชิงวิเคราะห์ตัวละคร หรือ Character Study Film คือรูปแบบของการทำหนังผ่านการนำเสนอ ด้วยมุมมองของตัวละครหลัก เพียงคนเดียว ดังนั้นแล้วใครที่รับบทเด่นของเรื่องก็จะต้องทำการบ้านหนักหน่อย ซึ่งจะเป็นการเล่าเรื่องเอาตัวเอกเป็นศูนย์กลางพบเจอผู้คน ตัวละครอื่นๆ หยิบยกประเด็นโต้ตอบ ด้วย Dialog หรือบทสนทนาฉลาดๆ เสียดเย้ย ถากถาง หรือจูงใจ
Character Study ส่วนใหญ่นั้นมักจะถ่ายทอดให้คนดูได้เข้าถึง นิสัย ลักษณะ การกระทำ ไปจนถึงความคิด จิตใต้สำนึกของตัวละครนั้น (ซึ่งบางทีทำให้เราคล้อยตามความคิดเหล่านั้นด้วยความเห็นใจ) และขยายไปถึงตัวละครอื่นๆ ในบางครั้ง (Requiem for a Dream)
เรื่องราวของ TAXI DRIVER นั้น ถูกนำเสนอผ่านมหานคร New York ที่หลายคน ชื่นชอบ ในความศิวิไลซ์ของเมืองนี้ แต่ในเรื่องราวที่นำเสนอกลับเป็นด้านมืด ความโสมม ยาเสพติด โสเภณี ใช้กำลัง ปล้นชิง วิ่งราว อาชญากรรมทุกรูปแบบ คุณจะเห็น New York ในด้านมืด ถนนแฉะชื้น แสงสีค่ำคืนแห่งความบันเทิงชั้นต่ำ โดยมี Travis Bickle นายทหารเก่าที่เคยออกรบสงครามเวียดนาม กลับมาแสวงหาโชคในเมืองใหญ่ ซึ่งส่วนตัวนั้นตัวเองก็มีอาหารผิดปรกติ คืออาการนอนไม่หลับ เหมือนตัวละครในหนังเรื่อง Fight Club ที่เหมือนจะบอกให้คนดูทราบเป็นนัยๆ แล้วว่าตัวละครนี้กำลังอยู่ในภาวะที่ไม่ปรกติ ไม่ว่าจะใช้วิธีมากมาย ให้ตัวเองหลับ โดยในสมัยนั้น New York จะมีโรงภาพยนตร์ที่ฉายหยังโป๊ ให้คนที่นอนไม่หลับดูเป็นวิธีผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้ผลกับ Travis ซึ่งเดียวที่จะทำได้ในช่วงเวลากลางคืนนั้น ก็คือการขับรถ Taxi เป็นการเปรียบเปรยตัวละคร อย่าง Travis และ มหานคร New York ได้เลยในองค์แรกของเรื่องว่า ทั้งสองนั้น “ไม่เคยหลับไหล”
ชีวิตของการเป็นคนขับรถของ Taxi ของ Travis ต้องพบเจอคนมากมายหลากหลาย พร้อมคำถามอีกสารพัดจากโลกที่เห็นในยามค่ำคืน (โสเภณี, ยาเสพติด, ตำรวจที่ไม่มีหน้าที่อะไร นอกจากไล่ Taxi) เมื่อได้เรียนรู้โลก ไปสักพัก Travis เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเอง นั้นมีความ “เหงา” และ “เดียวดาย” เป็นเพื่อนตาย นับวันยิ่งเกาะกุมจิตใจของเขา (จนเข้าขั้น ป่วย) – สังเกตภาวะของการแอบมอง สาวขายบริการหน้าโรงหนัง การเข้าไปจีบพนักงานขายของ แต่โดนปฏิเสธ พร้อมทั้งไล่ส่งใส่ อีกทั้งยังต้องมารับมือกับ โอกาสที่จะโดนปล้น จนกระทั่งวันหนึ่ง Travis ได้เจอเหตุการณ์ แปลกๆ 2 ครั้ง
ครั้งแรก มีเด็กวัยเยาว์วิ่งร้องไห้ขึ้นมาบนรถ พร้อมคร่ำครวญให้เขาขับรถหนีไปให้ไกล แต่ก็มีชายคนหนึ่งมาดึงเธอลงมา บังคับให้ไปขายตัว แล้วโยนเงินที่ขยำยับยู่ยี่ให้ Travis แล้วบอกว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ครั้งที่สอง มีชายคนหนึ่งบอกให้จอดรถหน้า ตึกแห่งหนึ่ง ไม่ต้องกดมิเตอร์ แต่ให้ดูห้องที่ภรรยาของเขา กำลังเล่นชู้อยู่พร้อมเล่าความในใจให้เขาฟัง ชายแปลกหน้าคนนั้นตั้งใจจะ หยิบปืน .44 เข้าไปยิงแสกหน้าภรรยาของตนเอง แต่ก็ได้แค่คิด คิดเท่านั้น
ทุกสิ่งสร้างความสับสนแก่ Travis ว่าแท้จริง แล้วเมืองนี้มีแต่สิ่งสกปรกหรือเปล่า? ถือเป็นการเปรียบเปรย New York กับตัวละครว่า ทั้งสองนั้นมีความสับสน “มหานครที่สับสน” และ “คนที่สับสนคนหนึ่ง”
Travis นั้นตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่สำนักงานหาเสียงของ สว. Palantine ลงสมัครเลือกตั้งการเมืองเป็นนายกเทศมนตรีของ New York ผู้หญิงคนนั้นชื่อ “Betsy” นำแสดงโดย Cybill Shepherd (มุขตลกแยบยล ที่ Scorsese เล่นกับเรา ชื่อของเธอเป็นคำมาจาก Bet แปลว่าเดิมพัน – การจะเอาชนะใจสาวคนหนึ่งก็เหมือนการเดิมพัน ประมาณนั้น) ด้วยความเหงา และความชอบของเขา Travis ไม่อายที่จะเข้าไปจีบเธอ ทั้งคู่ใช้เวลาช่วงแรกศึกษาดูใจกัน จนกระทั่งวันหนึ่งไปดูหนัง หนังที่ Travis พาไปดูคือหนังโป๊ ในโรงหนังโป๊ แต่ด้วยความที่เราทราบดีว่า ช่วงนั้น Travis เริ่มไม่ปรกติ ฉากที่กินใจคือ “ถ้าผมรู้ว่าไม่ชอบ ผมจะไม่พาคุณมาดูเรื่องนี้เลย” แต่ก็ไม่เป็นผล ผู้หญิงไม่แยแส แม้กระทั่ง Travis เข้าไประเบิด อารมณ์ใส่เธอในสำนักงาน เธอก็ไล่เขาออกไป อย่างไม่ใยดี ไร้ค่า
ประเด็นความเหงา ความเจ็บปวด ของ Betsy ที่ทำให้ Travis เริ่มมีอาการหนักขึ้น เพราะความผิดหวังเสียใจอย่างรุนแรง จนกระทั่งได้พบกับ โสเภณีเด็กอายุ 12 ที่ชื่อ Iris นำแสดงโดย Jodie Foster (สมัยเด็ก) Travis จำได้ว่า เธอคือเด็กที่วิ่งขึ้นมาบนรถ แล้วโดนกระชากลงไปขายบริการ Travis เลยเข้าไปหาเธอ โดยผ่าน แมงดาที่ชื่อ Sport นำแสดงโดย Harvey Keitel
เขาเข้าไปในห้องโรงแรมกับเธอ แต่ไม่ได้ร่วมรัก แต่เพียงแสดงความจริงใจที่จะพา Iris ออกไปจากวังวนแห่งนี้ เชิงสัญลักษณ์ของการ เป็นฮีโร่ (คาวบอย, นักฆ่า ที่ปรากฏจากปากของเพื่อน) ประหนึ่งการสูญเสียความรักเป็นยังไง การทดแทนโดยให้ความรักแก่เด็กสาว โดยการปกป้อง และพาเธอหนีออกไปจาก คือการให้ความรักในแบบฉบับของคนป่วย
Travis เริ่มมีอาการ ติดความรุนแรง ออกกำลังกาย ดัดแปลงอุปกรณ์ปืน มากมาย เพื่อเป็นสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ โดยการโกนผมเป็น โมฮอร์ค (สัญลักษณ์ของนักฆ่าของชนเผ่าอินเดียนแดง) เป็นการแสดงออกถึงความรุนแรง และเรียกความสนใจ เหตุการณ์แรกก่อนจะไปถึงตอนจบนั้นคือการ เข้าไปลอบสังหาร สว. Palantine แต่ล้มเหลว นั่นก็เพียงเพราะ ความเก็บกด ที่เคยชอบ สว คนนี้ เพราะต้องการเอาชนะใจ Betsy ทั้งๆที่รู้ว่า สว Palantine นั้นก็แค่ไอ้ขี้กากคนหนึ่ง ที่ดีแต่พูดว่าจะเปลี่ยนแปลงเมืองนี้ แต่ก็ยังใช้บริการโสเภณีเด็ก (เคยขึ้นรถของ Travis เพราะกลัวคนรู้ว่ามาเที่ยวซ่อง)
สุดท้ายการแสดงความรักของ Travis ที่มีต่อ Iris คือการปลดปล่อยเธอจากเหล่า แก๊งค์ค้ามนุษย์ ด้วยการกระหน่ำเข้าไปยิงปืน แลกกระสุนจนตัวเอง เข้าขั้นโคม่า เหมือนหนังจะตัดจบ
แต่ก็มีผลลัพธ์สรุปให้ ในช่วงท้าย Iris กลับไปที่บ้านนอกตั้งใจเรียน มีคำขอบคุณมากมายจากพ่อแม่ของเธอ ซ้ำตัวเค้าเองก็ได้เป็นวีรบุรุษของเหตุการณ์นี้
ผู้โดยสารคนหนึ่งขึ้นมาบนรถ Taxi ของเขา เธอคือ Betsy ในครั้งนี้เธอเริ่มง้อ และสนใจ Travis แต่สำหรับ Travis นั้นเธอก็เพียงแค่ ผู้โดยสาร เพราะเค้ารู้ว่า คน และมหานครแห่งนี้หน้าเนื้อใจเสือทั้งนั้น – องค์สุดท้าย ผู้หญิงในยุคนั้นหลงไหลในฮีโร่ และวีรบุรุษ
เป็นภาพยนตร์ระดับตำนานของผู้กำกับ Martin Scorsese กับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Robert De Niro อีกเรื่องที่ควรซื้อเก็บขึ้นหิ้งครับ