Timecode (2000) เหตุผลที่หนังต้องมีลำดับภาพ และการตัดต่อ

TimeCode เป็นผลงานอินดี้ของผู้กำกับ Mike Figgis ที่ล้อประเด็นคำถามว่าถ้าหนังทุกเรื่องในโลกนี้ไม่มีการตัดต่อจะเป็นยังไง
แน่นอนครับ หากมองย้อนกลับไปดูแล้วจะเห็นว่า รางวัลออสการ์ทั้งหลาย จะมีหนึ่งรางวัลคือ ลำดับภาพยอดเยี่ยม ทำไมต้องลำดับภาพ ทำไมต้องมีการตัดฉาก ตัดต่อหนัง LongTake ยาวๆ ไปเลยไม่ได้เหมือนละครเวทีไม่ได้หรือยังไง?
คำตอบอยู่ในหนังเรื่อง TimeCode ครับ กับเนื้อเรื่องสุดแสนธรรมกา เป็นทริลเลอร์เบาๆ ที่ไม่มีอะไรหนักแน่น แต่การเล่าเรื่องนั้นใช้การแบ่งฉากของหนังทั้งเรื่องออกแบบ 4 ช่อง โดยขวาบนเป็นเหตุการณ์ของตัวละครคนหนึ่ง ซ้ายบนก็อีกคนหนึ่ง ซ้ายล่าง และ ขวาล่างก็เป็นของอีกอย่างละคน และตัวละครทั้งหมดนั้น ปรากฏในเหตุการณ์เดียวกัน มีเดินชนกันมาโผล่อีกกล้องของอีกคน แน่นอนว่าก็จะเห็น 2 คนนี้ปรากฏคนละมุมใน 2 ช่องของหนัง อาจจะดูตาลายก็จริงนะครับ แต่การเล่าเรื่องแบบแยบยลนี้มันมีที่มา
สมมติว่า ละคร กำลังดังช่วงนี้ใรโทรทัศน์ช่องสาม พระเอกรู้ว่านางเอกกำลังจะไปเจอกับตัวร้าย แล้วพระเอกต้องรีบวิ่งออกไปเตือน ส่วนใหญ่ จังหวะที่พระเอกตกใจและกำลังจะวิ่งออกไปเตือน ก็จะตัดฉากไปอีกเหตุการณ์หนึ่งของนางเอกที่กำลังเผชิญอีกชะตากรรม ให้เราเห็นพระเอกโผล่มาทันที
แต่ในหลักความเป็นจริง ถ้าเราแบ่ง จอของพระเอก และนางเอก ออกเป็น 2 จอภาพ ระหว่างที่นางเอกกำลังเดินเอื่อยๆ โดยปราศจากโฆษณาคั่น ก็จะฉายกล้องของนางเอกเดินไปเรื่อยๆ แถวสยาม ซอย 6 ดูร้านอาหาร ดูรองเท้า จุดหมายคือสยามซอย 1 ไปแบบอ้อยอิ่ง และในช่องของพระเอกที่ถูกแบ่งครึ่งพระเอกเดินมา รับข่าวว่านางเอกกำลังจะไปพบตัวร้าย พระเอกก็วางโทรศัพท์ นั่งลงใส่รองเท้า ค้นกุญแจรถบนโต๊ะทำงานแสนรก เดินออกจากบ้าน ล๊อคประตูบ้าน เปิดประตูรถ สตาร์ทเครื่อง แล้วก็ขับรถไปเรื่อยๆ เจอไฟแดงโชคชัย 4 สัก 2 นาที เจอไฟแดงห้าแยกลาดพร้าวอีก 10 นาที
ถ้าหนังมันแบ่งเป็น 2 มุมมองโดยปราศจากการตัดต่อ ให้เราดู 2 คนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบกันแล้วเข้าเรื่อง เข้าประเด็น คำตอบคือ “แม่งโคตรน่าเบื่อ” และเต็มไปด้วยแากไม่จำเป็น นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมีการ ตัดลำดับเหตุการณ์ และตัดต่อภาพยนตร์ขึ้นมา เพื่อให้มันกระชับ
สำหรับ TimeCode เช่นเดียวกันครับ มันฉาย เหตุการณ์ง่ายๆ แต่แบ่งออก 4 ช่องให้ดูว่าถ้าโลกนี้ไม่มีการตัดต่อ ลำดับภาพยนตร์ หนังมันโคตรน่าเบื่อและ มีฉากไม่จำเป็นเยอะแยะมากมายเลย แต่ผู้กำกับ Mike Figgis ก็ตั้งใจให้เราเบื่อแบบเต็มๆ พร้อมคิดตามว่าหนังเรื่องนี้มันจะสื่ออะไร
ดาราก็ดังระดับกลางๆ ครับ Jeanne Tripplehorn, Stellan Skarsgård และ Salma Hayek
คะแนน 6.7/10
ถ้าดูเพราะต้องการจะเรียนรู้เหตุและผล สำหรับคนทำหนังก็ลองดูครับ